กลุ่มที่เราให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือกลุ่มฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างมาจากต่อมหมวกไตชั้นนอก เพื่อควบคุมการใช้พลังงานในร่างกาย ปรับสภาวะของร่างกายจากความเครียด จากการเจ็บป่วย หรือติดเชื้อบาดเจ็บ เรียกสารกลุ่มนี้ว่าคอร์ติโคสตีรอยด์ ซึ่งร่างกายต้องการในปริมาณไม่มากนัก หากมีน้อยหรือมากไปจะเกิดโรคชนิดต่างๆ แต่สตีรอยด์ที่นำมาใช้ทางการแพทย์ เป็นสารเคมีที่สังเคราะห์เลียนแบบฮอร์โมนในร่างกาย และปรับให้ได้หลายอนุพันธ์เพื่อเพิ่มความแรงตามวัตถุประสงค์ที่ใช้ หรือลดอาการไม่พึงประสงค์
ตัวอย่างสารกลุ่มสตีรอยด์ ได้แก่ ไฮโดรคอร์ติโซน เพร็ดนิโซโลน บีตาเมทาโซน เด๊กซ่าเมทาโซน ไตรแอมซิโนโลน เป็นต้น
ประโยชน์ของสตีรอยด์ในทางการแพทย์
ทางการแพทย์ใช้สตีรอยด์ในการเป็นยารักษาหรือบรรเทาอาการของหลายโรคหรืออาการผิดปกติ เช่น ทดแทนภาวะการขาดฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ใช้รักษาโรคบางโรคที่ใช้ยาตามมาตรฐานไม่ได้ผล หรือโรคนั้นไม่อาจควบคุมด้วยยาอื่น กดภูมิคุ้มกัน รวมทั้งใช้ในการต้านการอักเสบ
ยากลุ่มสตีรอยด์ใช้ได้หลายทางตามวัตถุประสงค์ โดยทำเป็นยาในรูปแบบต่างๆ เช่น
1. ยาทาภายนอกตัวอย่างยาสำหรับอาการผื่นแดง แพ้ที่ไม้รู้สาเหตุคัน ควรใช้ในรูปยาเดี่ยว
2. ยาหยอดตาสำหรับการอักเสบของดวงตาที่ไม่ได้ติดเชื้อแพ้สารบางชนิด ประสาทตาอักเสบ
3. ยาฉีดเฉพาะที่ ยาฉีดเข้าข้อ สำหรับข้ออักเสบชนิดรูมาตอยด์ ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
4. ยาพ่น สำหรับผู้ป่วยหอบหืด
5. ยากิน สำหรับโรคหลายชนิด
6. ยาฉีดเข้าหลอดเลือด สำหรับโรคหลายชนิด
สำหรับยากลุ่มหลังๆ คือยากิน จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ จ่ายได้โดยเภสัชกรจากร้านยาแผนปัจจุบัน ขย 1 เท่านั้น แต่จะจ่ายโดยพลการไม่ได้ ต้องมีใบสั่งยามาจากแพทย์เท่านั้น ส่วนยาฉีดมักใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้นเพราะอันตรายมาก และใช้ในระยะเวลาสั้นๆ
อันตรายจากการใช้สตีรอยด์ไม่ถูกต้อง
เนื่องจากประสิทธิผลในการบำบัดบรรเทาอาการ ทำให้อาการต่างๆ ทุเลามากขึ้น ทำให้มีการใช้ยาสตีรอยด์กันอย่างพร่ำเพรื่อ ทั้งใช้โดยไม่จำเป็น ใช้นานเกินจำเป็น ใช้มากเกินจำเป็น แต่ในขณะเดียวกันอาจมีการใช้สตีรอยด์น้อยกว่าที่ควร เช่น การใช้ยาพ่นสตีรอยด์สำหรับอาการหอบหืด
หากร่างกายได้รับสตีรอยด์ในปริมาณมากและเป็นเวลานาน (เกิดจากการกิน หรือฉีด) ทำให้เกิดอาการที่สังเกตได้ชัดเจน รวมเรียกว่า Cushing Syndrome สรุปเป็นคำกลอนได้ ดังนี้
หน้าจันทร์แรม (คือหน้ากลมเป็นพระจันทร์-moon face)
แถมอ้อยเชื่อม (น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง)
เอื้อมไม่ไหว (กล้ามเนื้ออ่อนแรง)
ยายกี๋หนวด (มีขนขึ้นตามใบหน้า ผิวหนัง)
ปวดกระดูก (ปวดเมื่อย และกระดูกบาง ผุ พรุน และอาจหักได้)
ลูกทะเล (เกลือในร่างกายเพิ่ม ความดันโลหิตเพิ่ม)
เท่เหมือนควาย (เกิดก้อนไขมันที่บริเวณต้นคอด้านหลัง เรียกว่า “หนอกควาย” หรือ “ buffalo hump”)
ลายหน้าท้อง (หน้าท้องลาย พุงป่อง)
หมองสกิน (ผิวหนังบาง เป็นลาย รอยแตกมีสิวเม็ดเล็กๆ ขึ้นทั่วไป)
ภาวะอื่นๆ ที่พบ ได้แก่ ร่างกายบวมฉุ (central obesity) ทำให้เยื่อบุในกระเพาะอาหารบางลง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร และอาจทะลุไปจนถึงเสียชีวิตได้เกิดเลนส์ตาขุ่น และเป็นต้อกระจก เกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน (กระดูกเปราะบาง หักง่าย) อาการทางจิต ตับอ่อนอักเสบ ภูมิต้านทานลดลง (ง่ายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โดยเฉพาะเชื้อรา เช่น ที่ปาก ทางเดินอาหาร ช่องคลอด และผิวหนัง)
สตีรอยด์ยังปิดบังอาการแสดงของโรคติดเชื้อ ทำให้รักษาได้ไม่ทันการ กว่าจะพบโรคก็ลุกลามรุนแรงมากแล้ว
สตีรอยด์ยังยับยั้งการเจริญเติบโตของเด็กด้วย